เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมนะ แต่ไม่ใช่สอนใคร สอนตัวเอง เห็นไหม สถานที่ของเรา เราฝึกของเราไว้ เราฝึกของเราไว้ เราดูแลของเราไว้ เราเรียกร้องได้ เราจะขอให้สงบสงัดอย่างไรก็ได้ นี่สถานที่ของเรา เป็นสถานที่ฝึกหัด แต่เวลาเราไปข้างนอก เราไปข้างนอกเพราะเราไม่เคยไปไหนเท่าไร แต่ไปเพราะว่าโยมจั๊บแกเป็นคนช่วยดูแล แกเป็นคนช่วยดูแล แกรับส่งพระจาก ๒ วัดนั้นมาลงอุโบสถที่ ๘ ปี ตั้งแต่สร้างวัด ตั้งแต่สวนผึ้ง โป่งกระทิง เวลาลงอุโบสถที่นี่ จะมีพระมาลงอุโบสถที่นี่ ๔-๕ วัด
ฉะนั้น เขาก็รับส่ง เขาก็ดูแล มันมีบุญคุณ บุญคุณของเขา เขาดูแลเรามา เราก็แสดงน้ำใจว่าจะไปเผาศพเขา แต่พอจะไปเผาศพเขา พอไปแล้วเขาขอให้เทศน์ อาราธนาให้เทศน์ เขาบอกว่ามันเสียโอกาส ก็เลยไปเทศน์ พอไปเทศน์ขึ้นมา ลูกศิษย์ที่สนใจฟังเขาก็มี แต่โดยธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของคนเขาทำธุรกิจ เขาอยู่สังคมโลกของเขา เวลาเขามาเขาก็มาสรวลเสเฮฮากัน
ตาแป๊ะเสียงดังมาก แล้วเราก็ให้ลูกศิษย์เรา ลูกศิษย์เขาบอกจะให้เทศน์ เราบอกให้ช่วยดูแล เราสงสารนะ สงสารเพราะเด็กไปพูดกับผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ที่เขาแบบว่าผู้เฒ่าผู้แก่ใช่ไหม เขาเป็นผู้ใหญ่ แล้วเด็กจะไปห้ามเขา ห้ามเขา เขาก็ไม่ฟัง เราเลยบอกว่าเป็นสิทธิ์ของเขา เป็นสิทธิ์ของเขา เรายังพูดว่าให้เป็นสิทธิ์ของเขา
เวลาเทศน์ไปนะ มันก็เหมือน เราจะบอกว่าสีซอให้ควายฟัง เวลาสีซอให้ควายฟัง ควายไม่รู้เรื่อง นี้เราเทศน์ไป เขาก็คุยกันเสียงลั่นๆ เลยนะ ไอ้เราก็เทศน์นะ สัจธรรมนะ สัจธรรมนะ เกาะธรรมาสน์แน่นเลยนะ วัฏฏะนะ วัฏฏะนะ แล้วมันก็สังเวชตัวเองไง สังเวชตัวเองเหมือนเด็กๆ เหมือนเด็กๆ ที่เรียกร้องของจากผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ไม่ให้มันก็ร้องไห้ เราเหมือนเด็กคนนั้นนะ เหมือนเด็กๆ เวลาร้องไห้บังคับให้พ่อแม่ซื้อของให้ แล้วพ่อแม่ก็ไม่ซื้อให้
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน กำมือแน่นเลยนะ วัฏฏะนะ วัฏฏะนะ เทศน์ไปมันก็สังเวชตัวเองนะ เออ! เอ็งมันเด็กมากเนาะ อนุบาลจริงๆ เลย ร้องไห้เอา เห็นไหม ต่างคนต่างว่าตัวเองทำดีไง ต่างคนต่างว่าตัวเองทำดี เขาก็ประเพณีของเขา เขามางานศพของเขา เขามาเพื่อแสดงถึงความคิดระลึกถึงกัน ไอ้เราก็เทศน์ สัจจะๆ ยึดนะ กำแน่นเลยล่ะ ทีนี้กำแน่นขึ้นมา เวลาพูดประสาเรา คือว่าประสาเราถ้าว่าสีซอให้ควายฟังก็สีซอให้ควายฟัง แต่ว่ามันเป็นโอกาสที่เราได้พูด เราก็พูดเต็มที่ เพราะคนที่มา ลูกศิษย์ก็มหาศาล เขาก็ฟังของเขา แต่ไอ้คนที่เขาไม่เคยรู้จัก เขาไม่รู้สิ่งใดๆ เลย เขาไม่รู้สิ่งใดเลย ถ้าเขาไม่รู้สิ่งใดเลย เขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เป็นอย่างนั้น นี่โลก โลกเป็นอย่างนั้น
ถ้ามันเป็นความจริงๆ แสดงธรรมๆ แสดงธรรมควรแสดงธรรมที่ไหน ถ้ามีการเคารพธรรม มันมีความสงบมีความสงัด เวลาแสดงธรรมแล้วมันจะเข้าถึงหัวใจ ถ้าเข้าถึงหัวใจ เปิดใจไง แต่เขาไม่เปิดใจนะ หลวงตาท่านสอนว่า คนเขานอนหลับอยู่ เราจะไปป้อนอาหารเขา สำลักตาย หัวใจมันปิด หัวใจเขาไม่รับรู้ ของเขา ใจเขาปิด เราจะทำอย่างไรมันก็เข้าไปไม่ได้หรอก มันเข้าไปไม่ได้ ถ้ามันเข้าไปไม่ได้ จะกำมือแน่นขนาดไหนเขาก็ไม่รับรู้เอ็ง โอ้โฮ! กำมือแน่น คลั่งแล้วกันแหละ คลั่งเลยแหละ เทศน์ไปก็ขำตัวเองไป เออ! มันสังเวชไป
แต่ไป ไปเพราะระลึกถึงน้ำใจของเขา ไปเพราะเวลาคนของเขานะ คนของเขาเวลาเขาทำ ไปฟังเขาพูดไง เขาไม่กลัวความตายนะ เขาบอกเขาเป็นคนชักออกเอง ออกซิเจนเขาดึงออกเอง จนลูกชายถาม ป๊า ป๊าจะเอาอย่างนี้หรือ เขาพยักหน้า เหมือนกับการุณยฆาต การุณยฆาตเขาทำอย่างนั้น
เขาป่วยไง พอเขาป่วยแล้วเขาเคยรักษาแล้วหาย แล้วมันมาอีก นี่น้ำใจของเขา เราก็พูดยกเป็นอุทาหรณ์ เห็นไหม ถ้าคนมีสัจจะ คนมีการศึกษา คนมีพื้นฐานขึ้นมา มันไม่กลัวสิ่งใดเลย แม้แต่ความตายก็ไม่กลัว ถ้าความตายไม่กลัวแล้วมันจะมีอะไรมาขวางล่ะ ถ้าความตายไม่กลัวสิ่งใดเลย เพราะอะไร เพราะเขาพร้อมของเขาอยู่แล้ว ถ้าเขาพร้อมอยู่แล้ว ผลของวัฏฏะ เขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเขาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เขามีบุญกุศลของเขาไป แล้วผู้ที่มาฟังเทศน์ล่ะ
เราพูดเลยนะ อาแปะๆ ทั้งหลาย เราบอกว่าไม่ต้องบริจาค ไม่ต้องบริจาค ไม่ต้อง ให้เห็นสิทธิ์ของตน สิทธิของตัวอย่าโยนมันทิ้ง สิทธิของตัว หัวใจของตัวนั่นน่ะ ถ้าหัวใจของตัวจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนก็แล้วแต่ ทุกดวงใจมันว้าเหว่ ทุกดวงใจที่มีความทุกข์นั้นแหละ ถ้ามีความทุกข์ทั้งนั้น หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ฝึกหัดมัน ฝึกหัดให้หัวใจนี้มันเข้มแข็งขึ้นมา เป็นสิทธิ์ของตน เป็นสิทธิ์ของผู้ฟัง เป็นสิทธิ์ของผู้แสวงหา ถ้าผู้แสวงหามีสติมีปัญญา มันจะได้ประโยชน์ไง ถ้าผู้มีไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่แสวงหา ไม่มีการกระทำ มันจะไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดไง
ไม่ต้องบริจาคๆ ไม่ต้อง คนมีเงินมากมีเงินน้อยไม่เกี่ยว ซัดกับเขาเต็มที่เลย ให้เห็นว่าเวลาจริงๆ ขึ้นมาแล้ว หัวใจของเรามันต้องการปรารถนาอะไร เราจะเอาอะไรสิ่งใดให้หัวใจของเรามันยอมรับ หัวใจนี้มันยอมรับสิ่งใด จะวัตถุข้าวของสิ่งใดก็แล้วแต่ มันก็ชั่วคราวทั้งนั้นแหละ แม้แต่ร่างกายของเรา เราหวงแหนขนาดไหน ถึงเวลาที่สุดแล้วเราก็ต้องทิ้งมันไป แล้วหัวใจล่ะ หัวใจ ใครไปดูแลรักษามัน
มันเป็นสิทธิ์ๆ เวลาเขาหักห้ามกัน กลัวเขาจะกระทบกระเทือนกัน บอกมันเป็นสิทธิ์เลย มันก็ขำ เทศน์ไปก็ขำไปนะ ขำตัวเอง ที่นี่ไม่ใช่บ้านเอ็ง ที่นี่ไม่ใช่รังของเอ็งนะเว้ย เวลารังของกู เวลากูสั่งได้หมดเลย แต่ที่นี่ไม่ใช่รังของมึง
แต่มันด้วยน้ำใจไง ด้วยน้ำใจที่เราออกไปหาเขาเอง ทีนี้ออกไปหาเขาเองมันสอนนะ สัตว์ป่า สัตว์ป่าเวลามันอยู่ในป่าของมัน มันจะไม่ทิ้งร่องรอยของมันเลยนะ ถ้ามันทิ้งร่องรอยของมันนะ มันโดนนักล่าล่า สัตว์ป่าอย่าเข้าเมือง เราเข้าเมืองเข้าไป เราไปไม่ถูกไปไม่เป็นเลยล่ะ นี่สัตว์ป่ากับสัตว์บ้าน ถ้าสัตว์ป่าควรอยู่ป่า สัตว์ป่าควรอยู่ของเรา สัตว์ป่า นี่พูดถึงเวลาฝึกฝนนะ
ไปเห็นแล้ว โอ้โฮ! มันกระเทือนใจไปทุกเรื่อง มันสะเทือนใจไปหมดนะ เพราะมันไม่เคยออกไปข้างนอกเท่าไร พอออกไป อู้ฮู! มันอลังการ แล้ววัดเขา โอ้โฮ! มโหฬาร ใหญ่โตมาก กุฏิเขาหลังหนึ่งสร้างวัดเราได้วัดหนึ่ง
แต่วัดของเราก็คือวัดของเรา วัดของเราไม่ใช่วัดร้าง วัดของเราคือวัดหัวใจไง ข้อวัตรปฏิบัติไง วัดของเราคือไม้กวาดไง กวาดลานวัด ดูแลลานวัด ทำความสะอาดของเรา วัตรนี้สำคัญ ถ้าวัตรนี้สำคัญขึ้นมา เวลาคนมาวัดมาวา เขาเห็นของเขา เขาได้ชื่นชมของเขา เออ! เกิดมาเป็นชาวพุทธ นับถือศาสนาพุทธ ถ้าไปบอกที่ไหนว่าฉันนับถือศาสนาพุทธจะได้ไม่อายเขา
บางคนไม่กล้าบอกว่าฉันนับถือศาสนาพุทธนะ เพราะอะไร เพราะนับถือศาสนาพุทธต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระสงฆ์ทำตัวกันอย่างนั้นแล้วเราไปเคารพนับถือ เราทำใจของเราได้อย่างไร
เราทำใจของเราไม่ได้นะ ถ้าเราทำใจของเราไม่ได้ เราถึงว่าพระสงฆ์ที่ดีก็มีนะ พระสงฆ์มีเกือบ ๔ แสนองค์ในประเทศไทย ฉะนั้น คำว่า คน ๔ แสนคน มันก็ต้องมีคนดีและคนไม่ดีปนกัน ถ้าคนไม่ดีสิ่งใดนะ เราก็คัดแยกของเราเองไง เพราะนั่นเป็นบุคคลของเขา มันเป็นสิทธิ์ๆ เวลาเป็นสิทธิ์ของเขา หัวใจของเขาทุกข์ยาก ถ้าเขาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เขาฝึกหัดของเขา เขาฝึกหัดของเขา นั่นล่ะคือสัจจะ นั่นล่ะคือความจริง เขาฝึกหัดของเขา เขาจะได้ความร่มเย็นในหัวใจของเขา ถ้าเขาไม่ฝึกหัดของเขา เขาศรัทธา ศรัทธาก็เป็นความเชื่อเฉยๆ ไง
นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่พระดีหรือพระไม่ดี ท่านก็ทำตัวของท่าน ท่านทำตัวของท่านเอง ถ้าท่านทำตัวของท่านเอง พระที่ปฏิบัติเลวทราม เวลาบิณฑบาตมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเวลาฉันอาหาร เหมือนกินถ่านร้อนๆ เข้าไปในกระเพาะเลยล่ะ เอาถ่านร้อนๆ ถ่านไฟที่เราหุงข้าวยัดใส่ปากไปลงกระเพาะเลย ท่านพูดถึงเวรกรรมไง แต่เวลาเรากินกันโดยปกติมันก็อร่อยเนาะ มันก็สดชื่น มันไม่ได้เห็นผลอย่างนั้นไง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ถ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาเรานับถือศาสนาพุทธ จนไม่กล้าจะพูดว่าเรานับถือศาสนาพุทธนะ บางทีเพราะเราเห็นกันแล้วเราอายแทน เราอายแทน เรารับไม่ได้ อันนั้นมันเป็นกรรมของสัตว์นะ กรรมของสัตว์คือเราไปตกอยู่สภาวะแบบนั้น ถ้าเราตกอยู่สภาวะแบบนั้น เหมือนเมื่อคืนไปจนตรอกอยู่นั่นน่ะ ค้ำหัวพญานาค โอ๋ย! สัจจะๆ เขาก็คุยกันเล่นเฉยเลย ตาแป๊ะ ตาแป๊ะเขาก็ไม่สน ใครห้ามตาแป๊ะ ตาแป๊ะก็ไม่ฟัง เพราะตาแป๊ะเขาเป็นเถ้าแก่ ตาแป๊ะเขาก็สนุกไปตามประสาตาแป๊ะเขานั่นแหละ เอ็งก็พูดไปสิ ก็ไม่เกี่ยว แล้วมันก็เกิดทิฏฐิมานะต่อกัน ไอ้คนไปห้ามมันก็จะมีปัญหา เราก็บอกเป็นสิทธิ์ของเขา เป็นสิทธิ์ของคน
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าธรรมะเป็นสาธารณะ มันมีอยู่ทุกแห่งทุกหน ใครมีสติปัญญาจะพิจารณาเอา แม้แต่ใบไม้ใบหนึ่งหลุดจากขั้ว ร่วงลงจากต้นไม้สู่พื้นดิน เราก็รู้ ใบไม้ ตั้งแต่มันเป็นใบไม้อ่อน ใบไม้แก่คือหมดอายุขัยของมัน มันก็ต้องหลุดจากขั้วไป คนไปเห็นอย่างนั้นมันสะเทือนหัวใจได้เลยถ้าคนมีสติมีปัญญา มันมีอยู่ทั่วไปที่จะทำ
ทีนี้ของเขามันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของเขา เราเข้าไปในประเพณีวัฒนธรรมของเขา เราไปด้วยน้ำใจของผู้ที่เสียชีวิต ผู้ที่เสียชีวิตเขาเสียชีวิตไป เราไปแสดงน้ำใจต่อเขา ไปแสดงน้ำใจต่อเขาว่าเขาเคยมีคุณกับวัดนี้ เคยมีคุณกับหลายๆ วัดของเรา เราก็ไปแสดงน้ำใจกับเขา ฉะนั้น แต่เราก็ตั้งใจว่าจะไปแสดงน้ำใจกับเขาเฉยๆ แต่เขาบอกว่าให้เทศน์ด้วย อ้าว! เทศน์ก็เทศน์ เทศน์ก็บอกเป็นปฏิสันถาร ก็เท่านั้นแหละ เพราะคนมันเยอะ แต่คนเยอะ พอเทศน์ไปมันก็อย่างนี้
ขำ เทศน์ไปก็ขำไป ขำตัวเองมาก มันไม่ได้โกรธนะ มันขำตัวเอง มันเห็นถึงสภาวะแบบนั้น ถ้าประสาเราว่า มันก็รู้ๆ อยู่ มันก็รู้ว่าต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ไปเจอเข้ามันก็เหมือนกับเด็ก เด็กมันมีทิฏฐิเอาชนะคะคานกัน ไอ้เขาก็คุยโม้ใหญ่เลยนะ ไอ้เราก็ สัจจะๆ เราก็นั่งขำ เออ! เหมือนจะเอาชนะกัน เหมือนจะเอาชนะคะคานกัน แต่พูดเพื่อประโยชน์ ประโยชน์ของเขา ถ้าเขาทำได้ ถ้าทำได้มันก็ทำได้ ถ้าทำไปเป็นประโยชน์ขึ้นมา เป็นประโยชน์นะ
ฉะนั้น ถึงว่าเวลาฝึกกัน เวลาย้อนกลับมาที่วัดเรา ย้อนกลับมาที่วัดเรา เวลาเด็กมีเสียงร้องอะไร เราก็บอกว่าให้เขาเอาออกไปข้างนอกก่อน เราฝึกหัดกันไว้ มันได้ฝึกหัดมันก็รู้ของมัน ถ้าเขาไม่ได้ฝึกหัด เขาก็เคยชินอย่างนั้น เพราะเคยชินอย่างนั้น แล้วตาแป๊ะมาอย่างนี้ พระยิ่ง เจริญพรๆ เขายิ่ง อู้ฮู! มีอีโก้สูงส่ง เขาบอกวัดนี้วัดของเขา เขามาทีไรมีแต่คนปูพรมให้เขาเดินทั้งนั้นแหละ ไอ้บ้ามาจากไหน ไอ้บ้ามาจากไหน กำหัวพญานาคแน่นเลยน่ะ ไอ้บ้านั่นมาจากไหน
ไอ้บ้านี่มาเตือนสติพวกเอ็งไง เตือนสติพวกเอ็ง ในหัวใจใครจะเรียกร้อง ใครจะดูแลเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสัจธรรม สาระสัจธรรมคือศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาขึ้นมาแล้ว เราศึกษามาแล้วเราก็ได้ความรู้อันนั้นมา ความรู้อันนั้นมาเป็นโลกียปัญญา ความรู้อันนั้น ขนาดถ้ารู้นะ ถ้ามีความทุกข์ความยาก เวลาศึกษาสิ่งนั้นมามันสะเทือนหัวใจนะ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันสะเทือนใจมากกว่านั้นน่ะ เวลามันสงบขึ้นมา อืม! ของอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ
เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา โอ้โฮ! เทวดามาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหมเขายังไม่รู้จักเรื่องอย่างนี้เลย ถ้าเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เวลาท่านมาฟังเทศน์ ท่านบอกว่าขอฟังเทศน์เรื่องอริยสัจ ขอฟังเทศน์ เทวดา อินทร์ พรหม สถานะของเขา สถานะของเขาก็เหมือนความรู้สึกนึกคิดเรานี่แหละ เพราะความรู้สึกนึกคิด สถานะของมนุษย์ไง มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด สถานะของสัตว์ สถานะของนรกอเวจี สถานะของเทวดา อินทร์ พรหม สถานะของเขา สถานะเขาสูงส่งของเขา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการได้ยสะ ได้ปัญจวัคคีย์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอกับเรา ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์
บ่วงที่เป็นโลกก็ลาภสักการะนี่แหละ โลกธรรม ๘ นี่บ่วงที่โลก โลกเขาสรรเสริญ โลกเขายกย่องบูชาขึ้นมา มาติดข้องอยู่กับบ่วงที่เป็นโลกอย่างนี้
บ่วงที่เป็นทิพย์ๆ เทวดา อินทร์ พรหมเป็นทิพย์ เขาเป็นพระอินทร์ เป็นพรหม เขามีศักยภาพของเขา นี่บ่วงที่เป็นทิพย์ ถ้าเราทำคุณงามความดีเราไปเกิดอย่างนั้น
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติหักมันมา พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นโลกก็บ่วงที่เขายกย่องสรรเสริญกันอยู่นี่ไง ลาภสักการะที่เขาเชิดชูบูชาอยู่นี่ไง บ่วงที่เป็นโลกมันจะรัดคอไว้
บ่วงที่เป็นทิพย์ๆ บ่วงที่เป็นทิพย์เขายังไม่รู้จักของเขา เขามาขอฟังธรรมๆ ฟังธรรม ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ของเรา นี่ไง เพราะสถานะของเขา เพราะเขาอยู่ของเขาโดยความเป็นทิพย์ๆ มันก็เหมือนเรา เหมือนเรา ความเป็นมนุษย์ของเราไง เราก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรา ความรู้สึกนึกคิด สถานะของมนุษย์ไง สถานะของสัตว์ล่ะ สถานะของเทวดา อินทร์ พรหมล่ะ สถานะของเขา ถ้าสถานะของเขามันก็เป็นความรู้ของเขา รู้แค่นั้นไง แต่เขาไม่รู้เรื่องอริยสัจ เขารู้ความจริงไม่ได้ เขารู้ความจริงไม่ได้เขาถึงมาขอฟังเทศน์ไง พอฟังเทศน์ขึ้นมา เทศน์เรื่องอะไร สอนเรื่องอะไร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหมสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นเป็นแสน
เวลาประโยชน์ ประโยชน์ตรงนั้นเพราะอะไร ประโยชน์ตรงนั้นเพราะเขาตั้งสติ เขาตั้งสติของเขา ถ้าใจของเขาเปิดกว้าง ภาชนะที่มันคว่ำอยู่ให้มันหงายขึ้น พอหงายขึ้น สัจจะเข้าไปสิ่งใด เข้าไปสะเทือนหัวใจ ถ้าสะเทือนหัวใจ มันเกิดปัญญา เกิดมรรคเกิดผล มันสำรอกมันคาย ถ้ามันคาย มันต้องมีสิ่งที่คายออกไปจากใจ ถ้ามันคายออกไปจากใจ ทำไมไม่บอกฉัน ทำไมเพิ่งมาบอกฉันตอนนี้
ตาแป๊ะมันยังคุยกันลั่นๆ อยู่นั่นน่ะ จะบอกฉันอะไร
ทำไมไม่บอก ทำไมไม่สั่งไม่สอน
ถ้ายังไม่รู้จริงมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันรู้จริงไม่ได้ไง เวลามันรู้จริงขึ้นมาแล้วมันเสียดายโอกาส เสียดายเวลา ทำไมไม่บอก ทำไมไม่บอกตั้งแต่ต้น ทำไมปล่อยจนป่านนี้ค่อยมาบอก ปล่อยจนป่านนี้ค่อยมาบอก
เวลาบอกมัน มันยังคุยกันโม้อยู่นั่นน่ะ สีซอให้ควายฟัง ควายมันไม่รับรู้ของมัน นี่ไง ด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยความเห็นของเขา ด้วยความเห็นของเขา ฉะนั้น นี่ความเห็นของเขา นี่พูดถึงกาลเทศะ ผิดที่ผิดทางไง สัตว์ป่าหลงเข้าเมือง สัตว์ป่าไปติดถังขยะไง ไปถึงถังขยะ คุ้ยใหญ่เลย นึกว่ามีอาหาร ตกไปในถังขยะ ออกไม่ได้ ดิ้นโครมๆ อยู่ในถังขยะ
สัตว์ป่าต้องอยู่ป่า เวลาครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอน เราอยู่ในที่สงบสงัด ถ้ามองทางโลก มองทางโลกเราไม่กล้าทำอะไรเลยนะ มันลำบากลำบนไปทั้งหมด เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันมีแต่อำนวยความสะดวก คุณภาพชีวิต ของใช้ของสอยเขาออกมาอำนวยความสะดวกเราทั้งนั้นแหละ เราก็ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำหามาเพื่อแลกมาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา
พระของเราถือบริขาร ๘ บริขาร ๘ ผ้า ๓ ผืน เช้าขึ้นมาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไม่มีสิ่งใดเลยนะ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมา เลี้ยงปากเลี้ยงท้องดำรงชีพเอาไว้ ดำรงชีพไว้ ดำรงชีพไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อความจริงของเรา นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอย่างนี้ไง ถ้าความจริงอย่างนี้มันเกิดประโยชน์กับเรา ถ้ามีประโยชน์กับเรา
ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาแล้วเราค้นคว้า ศึกษาวิเคราะห์วิจัยไง ศึกษาๆ มันก็ศึกษาเป็นสุตมยปัญญา ศึกษามาก็โลกียปัญญา ปัญญาที่เราศึกษา ปัญญาเหมือนกับเราศึกษาทางวิชาการนี่แหละ ศึกษาทางวิชาการแล้วเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะมีประสบการณ์ คนมีองค์ความรู้ แต่ทำงานไม่เป็น แต่คนที่ศึกษาแล้วมีองค์ความรู้แล้วฝึกหัดขึ้นมา ทำให้มันเป็นขึ้นมา ถ้ามันเป็นขึ้นมา มันจะมีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา
แล้วศีล สมาธิ ปัญญาในตำรา ศีล สมาธิ ปัญญาของครูบาอาจารย์ของเรา กับศีล สมาธิ ปัญญาของเรามันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรอก เพราะศีล สมาธิ ปัญญาของเรามันมีชีวิต มันสดๆ ร้อนๆ ดูสิ อาหารที่มันมีสดๆ ร้อนๆ อาหารที่ไอยังขึ้นอยู่นี่ ปล่อยให้มันเย็นชืด เย็นชืดไปกินแล้วมันไม่อร่อย
ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าสติขึ้นมา ดูสิ คนมีความทุกข์ความยากขนาดไหน เวลามีสติขึ้นมามันหยุดความคิด เอ๊อะ! ทุกข์เกือบตาย เวลาสติยับยั้งนี่หมดเลย วางหมดเลย พอทำสัมมาสมาธิ จิตตัวเองเป็นอิสระ โอ้โฮ! แล้วถ้าฝึกหัดภาวนามยปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันเกิดมรรคขึ้นมา พอมันเกิดขึ้นมา มันเป็นความมหัศจรรย์ของใจ
นี่ไง ที่ว่าเทวดา อินทร์ พรหมมาขอฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์เรื่องอะไร ก็ฟังเทศน์ ถ้ามันเป็นสัจจะ เป็นความจริง แต่เวลาพระเทศน์กันๆ ก็เทศน์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ่าน เวลาถามขึ้นมานะ ก็ตำราบอกไว้ว่าอย่างนี้ เราก็ยกกลับไปที่วิชาการที่เราเรียนมาไง พอเราทำอะไรผิดปั๊บ อะไรทำผิด เราก็อ้างทางวิชาที่เรียนมาไง ตามตำราเลย ตามตำราเลย...ตำราก็ตำราไง แต่เอ็งทำงานไม่เป็น เอ็งทำงานไม่ได้ ตำราก็กาง กางสิ
นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ถ้ามันฝึกขึ้นมาเป็นจริงมันก็เป็นจริงขึ้นมาไง ถ้าเป็นจริงขึ้นมา มันมีชีวิต มันมีความรู้สึก มันมีการพัฒนาการ มันมีวิวัฒนาการ มันโตขึ้นมาไง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันเจริญขึ้นมา บุคคล ๔ คู่ หัวใจดวงเดียวมันเป็นขึ้นไปนะ นี่สัจจะ สัจจะความจริง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จำเอาไว้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ป่าควรอยู่ป่า ปลาควรอยู่น้ำ มันเหมือนกับโลมามันขึ้นไปเกยหาด รอน้ำขึ้น เฮ้ย! น้ำเมื่อไหร่จะขึ้นมาสักที กูอยากจะลงน้ำ ตากแดดร้อนเต็มทีแล้ว เหมือนโลมาขึ้นไปเกยตื้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กาลเทศะควรเป็นไปอย่างใด นี่พูดถึงนะ เวลาเทศน์มันก็ได้ประโยชน์นั่นแหละ แต่เมื่อคืน โอ้โฮ! เราได้เยอะมาก กำหัวพญานาค ฉะนั้น เขาถ่ายโทรศัพท์ไว้ บอกว่าให้กูด้วย กูอยากดูว่าเวลากูเรียกร้อง กูร้อง ร้องขอความช่วยเหลือมันทุเรศขนาดไหน เอวัง